สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า
เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ
ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักท่าไหร่
รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว
ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น
ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ
สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั่งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป
ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน
แม้นตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
และแม้นฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน
แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ
ว่า... สามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ
และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น
แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ...
การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน
และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น
และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆได้ ก็คือ...
การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด
คือ... การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด
แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้
อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ
รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ
และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม
แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้น เราต้องตั่งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น
ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่
แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก
แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า.....
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่
ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น